วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

Web 2.0 & Lib 2.0

กระบวนวิชา  009355 บริการห้องสมุดและบริการสารสนเทศ

ประจำวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2554

สรุปเรื่อง Web 2.0 & Lib 2.0

_________________________________________________

Web 2.0 & Lib 2.0

  • ที่มาของแนวคิดห้องสมุด 2.0
    - พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนและการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
    - กฎของพาเรโต (Pareto Principle)
    - เศรษฐศาสตร์หางแถวหรือหางยาว (The Long Tail)
    - เทคโนโลยี Web 2.0
    - Lib 2.0
  • พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนและการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
    ผู้ใช้ห้องสมุดในปัจจุบันหันไปเลือกใช้ห้องสมุดที่เป็นดิจิทัลเป็นจำนวนมากขึ้น เนื่องจาก ผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรืออาจกล่าวได้ว่าเข้าถึงได้ทุกที่และทุกเวลา (Anytime & Anywhere)
  • กฎของพาเรโต (Pareto Principle : 80/20 Rule)
    วิลเฟรโต พาเรโต (Vilfredo Pareto) ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้คิดค้นกฎ 80/20 ขึ้นมา ซึ่งเป็นกฎที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางมาเป็นเวลานาน เนื่องจากสามารถอธิบายเหตุผลได้ในทุกๆ เรื่องและทุกแขนงวิชา มีการนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงธุรกิจ กล่าวคือ รายได้ขององค์กร 80% ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ล้วนมาจากลูกค้าชั้นดี 20% เท่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่ายอดขาย 80% ของบริษัทมาจากสินค้าเพียง 20% หรือรายได้ 80% ขององค์กรได้มาจากพนักงานเพียง 20% ซึ่งทำให้เห็นได้ว่ากฎ 80/20 ช่วยทำให้เห็นถึงสาระสำคัญและการเอาใจใส่ลูกค้ากลุ่มพิเศษที่มีเพียง 20% เท่านั้น ที่ช่วยสร้างรายได้ส่วนใหญ่ให้กับองค์กร เนื่องมาจากทรัพยากรขององค์กรมีอยู่อย่างจำกัด ไม่สามารถเอาใจใส่ลูกค้าทั้งหมดในเวลาเดียวกันได้ ดังนั้นองค์กรจึงจำเป็นต้องละเลยลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่มีถึง 80% ทำให้เกิดการเปิดช่องว่างทางธุุรกิจเกิดมุมมองของการทำตลาดเฉพาะส่วน (Niche Market) มากขึ้น
    ***แต่ในปัจจุบัน สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ มีการผลิตคราวละเป็นจำนวนมากเพื่อตอบสนองความต้องการของมวลชน จึงเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี มีผลทำให้ Chris Anderson มีมุมมองที่แตกต่างไปจากพาเรโต เกิดเป็นแนวคิดเศรษฐศาสตร์หรือทฤษฏีหางแถวขึ้นมา***
  • เศรษฐศาสตร์หรือทฤษฎีหางแถว (The Long Tail)
    Chris Anderson เป็นผู้คิดค้นทฤษฎีหางแถวขึ้นมา และได้นำเสนอเป็นบทความผ่าน Wired Magazine และแนวคิดนี้ได้รับความนิยมมากในปี ค.ศ.2004 นักธุรกิจต่างก็ให้การยอมรับมาก เนื่องจาก แนวคิดนี้ช่วยทำให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจเป็นจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มลูกค้า 80%  ที่องค์กรทางธุรกิจเคยละเลยไป และเห็นได้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้กลับมีความสำคัญเป็นอย่างมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้มากกว่ากลุ่มลูกค้าชั้นดีเพียง 20% ด้วยซ้ำ ตัวอย่างของทฤษฎี Long Tail ในธุรกิจ ซึ่งในที่นี้จะขอยกตัวอย่างของธุรกิจขายหนังสือผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของ Amazon ซึ่งมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับร้านขายหนังสือโดยทั่วไป เนื่องมาจาก ร้านทั่วไปมีพื้นที่อยู่อย่างจำกัดในการขายหนังสือ จึงจำเป็นต้องนำแนวคิด  80/20 ของพาเรโตมาใช้ในการจัดการเชิงธุรกิจ เพื่อเลือกหนังสือเข้ามายังภายในร้าน เพื่อสนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าประจำ ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับธุรกิจขายหนังสือผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของ Amazon มีรูปแบบที่แตกต่างจากร้านหนังสือทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจาก พื้นที่ในการจัดเก็บหนังสือผ่านระบบอินเตอร์เน็ตมีอยู่อย่างไม่จำกัด และใช้ต้นทุนน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการขายหนังสือที่ลูกค้าจำนวนน้อยให้ความสนใจของธุรกิจขายหนังสือผ่านระบบอินเตอร์เน็ตของ Amazon กลับพบว่าหากนำมารวมกันแล้วมีมูลค่ามากกว่าหนังสือขายดีที่ลูกค้าทั่วไปสนใจ และที่สำคัญยังมีการเพิ่มความหลากหลายของหนังสือได้อย่างไม่มีข้อจำกัด แม้ว่าจะมีหนังสือเป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีการจำหน่ายออกไปยังลูกค้า ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อผลกำไรของบริษัท เนื่องมาจาก ในการทำธุรกิจใช้การลงทุนที่ต่ำมาก และไม่จำเป็นต้องบริหารจัดการเกี่ยวกับคลังสินค้า ก็ย่อมไม่มีส่วนสำคัญต่อผลกำไรของบริษัท
    ***สำหรับในธุรกิจ e-Commerce ก็เริ่มมีการนำแนวคิดของทฤษฎีหางยาว (The Long Tail) มาเป็นรูปแบบในการดำเนินการทางธุรกิจ เช่น การดาวน์โหลดเพลงหรือรูปภาพ เป็นต้น โดยที่ธุรกิจนั้นจะต้องมีสินค้าที่มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก และจำนวนลูกค้าก็ต้องมีเป็นจำนวนมากเช่นกัน เพราะ แนวคิดนี้ไม่มุ่งที่การทำการตลาดเฉพาะส่วนเหมือนกับกฎ 80/20 ของพาเรโต
    ***แนวคิด The Long Tail จึงช่วยทำให้เห็นถึงความสำคัญของลูกค้ามากขึ้น เกิดการเอาใจใส่ในลูกค้าที่หลากหลาย ส่งผลให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างเกินความคาดหมาย อีกทั้งเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายบุคคลได้มากขึ้น 
    ***ดังนั้นแนวคิด The Long Tail จึงเป็นแนวคิดทางการตลาดแนวใหม่ที่ต้องการให้ผู้ประกอบการหันมามุ่งเน้นพัฒนากลยุทธ์สำหรับสินค้าเป็นจำนวนมากที่เป็นที่ต้องการน้อยในกลุ่มผู้บริโภคสำหรับการสร้างโอกาสเพิ่มจำนวนยอดขายให้กับธุรกิจทุกอย่างได้อย่างยั่งยืน
  • กฎ 3 ประการของทฤษฎี The Long Tail
    กฎข้อที่ 1 Make everything available
    กฎข้อที่ 2 Cut the price in half. Now lower it
    กฎข้อที่ 3 Help me find it
  • กราฟของทฤษฎี The Long Tail
    longtail.jpg

    สามารถอธิบายความหมายของกราฟทฤษฎี The Long Tail ได้ดังนี้
    แกนตั้ง คือ ยอดการขาย และแกนนอนคือ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ส่วนที่เป็นสีแดงของกราฟ คือ Hits หรือสินค้ายอดนิยมและเป็นที่ต้องการของคนกลุ่มใหญ่ (Best-Selling Products) และส่วนที่เป็นสีเหลือง คือ Nonhit หรือ Niches ซึ่งเป็นสินค้าที่คนกลุ่มน้อยต้องการและหาซื้อได้ยาก เนื่องจาก มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ ชั้นวางแสดงสินค้า (Low-Demand Products)
    ทฤษฎี The Long Tail แสดงให้เห็นได้ว่า แนวโน้มของการตลาดเริ่มย้ายจาก Hits สีแดง มาเป็น Niches สีเหลือง ซึ่งขยายยาวไปทางขวาเรื่อยๆ เนื่องมาจาก เทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุุบัน ช่วยทำให้ผู้บริโภคสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็น Niches ได้ง่ายขึ้น หลังจากหันมาทำการซื้อขายบนอินเตอร์เน็ตแทน มีการย้ายจาก Physical มาเป็น Digital
  • ทฤษฎี The Long Tail ในงานบริการของห้องสมุด
    การให้บริการของห้องสมุดในการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศให้แก่ผู้ใช้ จะพบว่า 20% ของหนังสือในห้องสมุดถูกยืมออกหรือหยิบใช้โดยผู้ใช้ อีก 80% ต้องอาศัยพื้นที่ในการจัดเก็บและมีผู้ใช้เลือกใช้น้อย ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎี Library Long Tail ดังนั้น ห้องสมุดจึงควรทำการพัฒนาระบบการค้นหาด้วย OPAC หรือ Meta Search Tools ต่างๆ เพื่อทำให้หนังสืออีก 80% ที่ไม่มีผู้ใช้หยิบยืมหรือหยิบใช้ ได้รับการใช้งานเพิ่มมากขึ้น

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
    Logistics Digest
    มหาวิทยาลัยมหิดล
    รุจเลขา วิทยาวุฑฒิกุล
  • Web 1.0 
    web1_2.jpg

    Web 1.0 ยุคแห่งการเริ่มต้น
    Web 1.0 เป็นเว็บที่มีลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของเว็บไซต์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Read-Only) ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการโต้ตอบทางเดียว ซึ่งก็คือ เจ้าของเว็บไซต์มีการผลิตเนื้อหาของเว็บไซต์และผู้ต้องการข้อมูลจะเข้าไปอ่านจากเว็บไซต์หรือทำการค้นหาจาก Search Engine ผู้เข้าชมเว็บไซต์ส่วนใหญ่สามารถทำได้เพียงรับข้อมูลจากเนื้อหาของเว็บไซต์แต่ไม่มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นหรือมีการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของเว็บไซต์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • Web 2.0

    web2_2.jpg

    Web 2.0 ยุคแห่งการพัฒนาและการเชื่อมโยง
    Web 2.0 เป็นเว็บที่มีลักษณะของการแสดงเนื้อหาและการโต้ตอบกันระหว่างเจ้าของเว็บไซต์กับผู้เข้าชม ซึ่งมีลักษณะเป็นการแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันมากกว่าที่จะเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว (Read-Write) โดยผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์สามารถแสดงความคิเห็นหรือทำการสร้างเนื้อหาโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของเว็บไซต์หรือทีมผู้สร้างเนื้อหา อีกทั้งผู้เข้าชมสามารถกำหนดคุณค่าของเว็บไซต์หรือบทความผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การให้คะแนนเนื้อหา การแนะนำบทความให้กับผู้อื่น เป็นต้น สำหรับรูปแบบหรือลักษณะโดทยทั่วไปของ Web 2.0 นั้นมีการพัฒนาให้มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ได้ง่ายขึ้นและมีความหลากหลายในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น เช่น ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาได้รวดเร็วโดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิค สามารถเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย สามารถแบ่งปันข้อมูลไปยังเครือข่ายออนไลน์ สามารถแสดงความคิดเห็นและทัศนคติได้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดกว้างมากขึ้น เป็นต้น ดังนั้น Web 2.0 จึงมีส่วนช่วยในการสนับสนุนการสร้างสังคมที่มีความเกื้อหนุนกันทางความรู้และการรวมกลุ่มของเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการคิดร่วมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ส่วนตัวอย่างลักษณะของ Web 2.0 เช่น วิกิพีเดีย ซึ่งเป็นสารานุกรมออนไลน์หลายภาษาที่แบ่งปันเนื้อหาได้อย่างเสรี อีกทั้งผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข และปรับปรุงเนื้อหาร่วมกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ส่วน Frickr เป็นแหล่งออนไลน์ที่ใช้ในการฝากและแสดงภาพค่ยดิจิทัล โดยมีการระบุคำจำกัดความของรูปภาพหรือที่เรียกว่า Tag เพื่อเป็นตัวช่วยในการจัดระบบและการค้นหาข้อมูล ส่วน Blog เป็นเว็บไซต์ส่วนตัวสำเร็จรูปที่ช่วยในการเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ง่ายขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
  • ระดับของ Web 2.0 สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้
    ระดับ 3 ระดับของการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารของมนุษย์ภายใต้เว็บไซต์เดียวกัน เช่น Wikipedia Skype eBay Craigslist
    ระดับ 2 ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเตอร์เน็ต แต่เมื่อนำมาใช้งานออนไลน์นั้น จะมีประโยชน์มากขึ้นจากการเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน เช่น Frickr เว็บไซต์อับโหลดภาพที่มีการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างภาพ เช่นเดียวกันระหว่างผู้ใช้งาน
    ระดับ 1 ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเตอร์เน็ต แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้นและมีการนำมาใช้งานออนไลน์ เช่น Google Docs และ iTunes
    ระดับ 0 ระดับที่สามารถใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น MapQuest และ Google Maps

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น